คอลเซนเตอร์รูปแบบใหม่!! “สืบนครบาล” บุกช่วยนักศึกษาถูกหลอกจับตัวเอง และขู่แม่เหยื่อโอนเงินค่าไถ่ 3 ล้าน (ชมคลิป)
แก๊งคอลเซนเตอร์ใช้วิธีหลอกแบบใหม่อ้างตัวเองเป็น ปปง. แล้วแจ้งผู้เสียหายว่าพัวพันกับยาเสพติด ให้น้องไปเช่าอยู่ที่อื่นเพื่อความปลอดภัย เมื่อน้องเปิดห้องที่พักแล้ว จะสั่งการควบคุมโดยวิดีโอคอลคุยกับน้อง ว่าให้น้องทำตามคำสั่งไม่เช่นนั้นจะถูกดำเนินคดี โดยคนร้ายอีกทีมติดต่อกับแม่หลอกว่าน้องถูกจับเรียกค่าไถ่ ให้แม่โอนเงินมาเพื่อให้น้องปลอดภัยจำนวน 3 ล้านบาท พบว่าคนร้ายทั้งหมดสั่งการอยู่ประเทศกัมพูชา
พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ จัดชุดสืบสวนเข้าดำเนินการโดยเน้นความปลอดภัยของผู้เสียหาย และให้ดำเนินการสืบสวนจับกุมกลุ่มคนร้ายโดยเร็ว
พฤติการณ์ คือ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2566 เวลาประมาณ 12.56 น. คนร้ายคอลเซนเตอร์ใช้หมายเลจโทรศัพท์ 698958129007 โทรไปหานางสาว อ.นามสมมติ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยชื่อดัง ย่านลาดกระบัง กทม.อ้างว่าเป็น เจ้าหน้าที่บริษัทไปรษณีย์ไทย แจ้งว่าตัวนางสาว อ.เป็นผู้ส่งพัสดุผิดกฎหมาย และได้ถามย้ำว่าใช่ตัวนางสาว อ.นามสมมติ เป็นผู้ส่งหรือไม่ นางสาว อ.ตอบว่าไม่ใช่ จึงแนะนำให้ไปแจ้งความ โดยอ้างว่าพัสดุส่งจากจังหวัดสงขลา จึงต้องไปแจ้งความที่จังหวัดสงขลา นางสาว อ.บอกไม่สะดวก บุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จึงอาสาประสานติดต่อตำรวจให้ เพื่อแจ้งความเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์
ต่อมามีการโอนสายให้บุคคลที่อ้างว่าเป็นตำรวจ นางสาว อ.จึงได้แจ้งความตามเรื่องดังกล่าวให้ตำรวจทราบเพื่อแจ้งความ และตำรวจได้ทำทีเช็กประวัติ และอ้างว่าพบบัญชีธนาคารของนางสาว อ.เกี่ยวข้องกับขบวนการฟอกเงิน ตำรวจจึงได้สอบถามข้อมูลการเงินของนางสาว อ. พร้อมกับให้รวมเงินจากทุกบัญชีธนาคารที่มีเข้ามาในบัญชีเดียว และโอนเข้าบัญชีคนร้าย โดยอ้างว่าเพื่อทำการตรวจสอบเส้นทางการเงินโดยละเอียดว่าเกี่ยวข้องกับขบวนฟอกเงินหรือไม่
จากนั้นได้สอบถามว่าอยู่ที่ไหน ผู้เสียหายตอบว่าอยู่มหาวิทยาลัย จึงให้ย้ายสถานที่ไปโรงแรมใกล้เคียง จึงเลือกโรงแรมแถวสนามบินสุวรรณภูมิ
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจที่คุยช่วงแรกได้ให้คุยกับตำรวจที่อ้างตัวว่า เป็นผู้กำกับสังกัด ปปง. ได้สอบถามว่าที่บ้านประกอบธุรกิจอะไร ผู้เสียหายบอกข้อมูล ชื่อ สกุล เบอร์โทรศัพท์ของพ่อและแม่ไป ทั้งนี้คนร้ายได้ขอตรวจสอบหลักทรัพย์ บัญชีธนาคารของพ่อแม่ โดยให้แจ้งแม่ว่าถูกลักพาตัว เพื่อให้แม่โอนเงินมาตรวจสอบด้วยความรวดเร็ว ในระหว่างที่อยู่โรงแรมห้ามติดต่อใคร โดยบุคคลที่อ้างว่าเป็นตำรวจจะติดต่อกับแม่เอง ซึ่งบุคคลที่อ้างว่าเป็นตำรวจแจ้งว่า เมื่อตรวจสอบเสร็จจะโอนคืนเงินทั้งหมดให้
ส่วนคนร้ายอีกทีมจะโทรติดต่อแม่ด้วยไลน์ของผู้เสียหาย ซึ่งผู้เสียหายได้ให้รหัสคนร้ายไว้ จึงทำให้แม่เชื่อว่าลูกสาวอยู่กับคนร้าย และตกอยู่ในอันตราย โดยคนร้ายขู่จะตัดนิ้วถ้าแม่ไม่โอนเงิน จำนวน 3 ล้านบาทเข้าบัญชีของผู้เสียหาย ต่อมาครูและคุณพ่อได้แจ้งขอความช่วยเหลือ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ, พ.ต.ท.สมพงษ์ เกตุระติ สว.วิเคราะห์ข่าว บก.สส.บช.น., พ.ต.ต.ทศรัสมิ์ กิติธารา สว.วิเคราะห์ข่าว บก.สส.บช.น., ร.ต.อ.ธนพล มโนษรรอง สว.วิเคราะห์ข่าว บก.สส.บช.น., ร.ต.ต.ทรงศักดิ์ เจียมสกุล รอง สว.วิเคราะห์ข่าว บก.สส.บช.น. กับพวกออกติดตามช่วยเหลือ และติดตามจับกุมกลุ่มคนร้ายดังกล่าว
จากการเข้าตรวจสอบพบผู้เสียหายอยู่ภายในห้องเพียงคนเดียว โดยคนร้ายรีบตัดสายสนทนาทิ้งทันที ซึ่งจากการสืบสวนพบว่าคนร้ายทั้งหมดได้กระทำความผิดอยู่ที่ประเทศกัมพูชาด้วยโทรศัพท์ และควบคุมเหยื่อด้วยการวิดีโอคอล
พล.ต.ต.ธีรเดชกล่าวว่า เป็นวิธีการกระทำความผิดแบบใหม่ของคนร้าย แก๊งคอลเซนเตอร์นี้ จะแยกการหลอกเหยื่อ และผู้ปกครองเหยื่อ โดยอ้างใช้การเรียกค่าไถ่ และข่มขู่จะตัดนิ้วเพื่อให้ผู้ปกครองยอมโอนเงินทั้งหมดให้ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องระดมกำลังเพื่อออกปฏิบัติการ เนื่องจากผู้ปกครองเป็นห่วงความปลอดภัย เข้าใจว่าเป็นเรื่องเรียกค่าไถ่จริง สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคมเป็นอย่างมาก อยากประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนมีภูมิคุ้มกันในรูปแบบใหม่ของขบวนการคอลเซนเตอร์นี้ และขอเตือนคนไทยที่ร่วมกระทำผิด.