“โฆษก สธ.” เผย แอสตร้าเซนเนกา พร้อมปฏิบัติตามสัญญา ส่งมอบทันฉีด มิ.ย. 64
นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง (รก.11) โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงข้อกังวลเรื่องบริษัทแอสตร้าเซนเนกา อาจส่งมอบวัคซีนไม่ทันเดือนมิถุนายนว่า บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ไม่ได้กำหนดส่งในวันที่ 1 มิถุนายน แต่จะเริ่มจัดส่งภายในเดือนมิถุนายน และทางบริษัทก็รับทราบกำหนดการที่รัฐบาลวางแผนฉีดวัคซีนแบบปูพรมอยู่แล้ว ทั้งนี้ ทางบริษัทต้องปฏิบัติตามสัญญา ส่วนการบริหารจัดการ ทางภาครัฐได้มีแผนสำรอง สำหรับทุกสถานการณ์ และจะทำอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ไทยพ้นจากมหาวิกฤติครัังนี้โดยเร็วที่สุด
ส่วนการจัดสรรวัคซีนแอสตร้าเซนเนกา ที่พบว่าต่างจังหวัดมีปริมาณสูง แม้ไม่ได้เป็นพื้นที่ระบาด เนื่องจากจัดสรรตามกลุ่มอายุประชากรผู้สูงอายุ และ 7 โรคเสี่ยง อย่างในจังหวัดสกลนครเป็นเมืองผู้สูงอายุ จึงมีการจัดสรรวัคซีนไปเพื่อผู้สูงอายุตามจำนวนที่ปรากฏในทะเบียนราษฎร ส่วนจังหวัดนนทบุรีแม้เป็นพื้นที่สีแดง แต่ผู้สูงอายุมีจำนวนน้อยจึงจัดสรรเท่าจำนวนจริงของผู้สูงอายุ แต่ขณะเดียวกันก็มีการจัดสรรวัคซีนซิโนแวคไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งเอกสารดังกล่าวระบุเฉพาะวัคซีนแอสตร้าเซนเนกา
นายแพทย์รุ่งเรืองให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงเรื่องยอดการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น และปัญหาการบริหารจัดการในพื้นที่กรุงเทพด้วยว่า เป็นไปตามข้อสังเกตุของนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ที่ให้ข้อมูลว่าระบบสาธารณสุข กทม. ที่ถูกเรียกว่า เป็นเขตปลอดกระทรวงสาธารณสุข เพราะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ที่มีทรัพยากรมาก แต่ด้านของสาธารณสุขกลับมีความเข้มแข็งน้อยกว่าต่างจังหวัดหลายเท่าตัว
ยกตัวอย่างง่ายๆ ในต่างจังหวัดยังมีโรงพยาบาลประจำอำเภอ คนที่ต้องการที่จะผ่าไส้ติ่งสามารถเดินเข้าไปแอดมิดและผ่าตัดได้เลย ในขณะที่คนกรุงเทพฯ จะต้องหาโรงพยาบาล หรืออาจต้องเป็นของเอกชน เพราะไม่มีโรงพยาบาลประจำเขต นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการระบาดในกรุงเทพฯ จึงมีปัญหาเรื่องการหาเตียงของผู้ป่วย
อย่างไรก็ตาม นายแพทย์สุรพงษ์ เชื่อมั่นในหลักการกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่น แต่การให้ความสำคัญของท้องถิ่นต่อระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะ กทม.จะต้องมีการปรับปรุงและแก้ไขให้ดีขึ้น แต่ก็ยอมรับว่าโครงสร้างของ กทม.อาจมีหลายเรื่องที่ซับซ้อนและแก้ไขได้ยาก
“สัดส่วนของโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ 70% เป็นโรงพยาบาลในภาคเอกชน ส่วนอีก 30% เป็นของหน่วยงานรัฐและแบ่งแยกย่อยกันไปตามสังกัดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลสังกัด กทม. และโรงพยาบาลของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข” โฆษกกระทรวงสาธารณสุขกล่าว.