เยียวยาโควิด! ครม.เคาะ “คนละครึ่งเฟส 3” ขยายเป้าหมาย 31 ล้านคน พยุงเศรษฐกิจ
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าที่ประชุมครม. เห็นชอบ 4 โครงการ เพื่อลดภาระค่าครองชีพและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด-19 คือ
1.โครงการ “คนละครึ่งเฟส 3 “ เพื่อสนับสนุนใช้จ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป และค่าบริการ (นวด สปา ทำผมทำเล็บ ค่าเดินทางโดยบริการขนส่งสาธารณะหรือขนส่งมวลชนสาธารณะ) ยกเว้นสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ โดยรัฐสนับสนุนร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่าย หรือไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน โดยประชาชนจะได้รับการเติมเงินใน แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” แบ่งเป็น 2 รอบ ๆ ละ 3 เดือน ( ก.ค. – ก.ย.64) และ (ต.ค. – ธ.ค. 64) ซึ่งจะได้รับสิทธิรอบละ 1,500 บาท รวมได้รับสิทธิ 3,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการรับสิทธิได้ตั้งแต่มิถุนายน – ธันวาคม 2564 หรือจนกว่าสิทธิจะเต็ม โดยสามารถเริ่มใช้สิทธิได้ตั้งแต่กรกฎาคม – ธันวาคม 2564 ทั้งนี้เป้าหมายจะครอบคลุม 31 ล้านคน แยกเป็นผู้เข้าร่วมโครงการเดิมในเฟสที่ 1 และ เฟส 2 จะได้รับสิทธิ์อัตโนมัติจำนวน 15 ล้านคน และจะเปิดให้ลงทะเบียนใหม่เพิ่มอีก 16 ล้านคนในเร็วๆ นี้
2.“โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้” เป็นการสนับสนุนวงเงินสิทธิในรูปแบบบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Voucher) เมื่อซื้อสินค้าและบริการ ได้แก่ อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป ไม่รวมสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ รวมทั้งบริการนวด/สปา/ทำผมทำเล็บ และบริการอื่นตามที่กำหนด โดยจำกัดวงเงินใช้จ่ายสูงสุดที่จะนำมาคำนวณสิทธิ์ e-Voucher ไม่เกิน 60,000 บาทต่อคน และไม่เกิน 5,000 บาทต่อคนต่อวัน และจะได้รับสิทธิ e-Voucher สะสมสูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคนเพื่อนำไปใช้ต่อ ซึ่งในรายละเอียดนั้นทางกระทรวงการคลังจะชี้แจงเพิ่มเติมต่อไป สำหรับกลุ่มเป้าหมายจะเป็นประชาชนไม่เกิน 4 ล้านคน
3.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประมาณ 13.65 ล้านคน ผ่านการเติมเงิน จำนวน 200 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 6 เดือน วงเงินรวม 16,380 ล้านบาท
และ 4.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ (ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือฯ) เช่น ผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ต ผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ทำให้ไม่สามารถใช้งานแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้ ผู้ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง (ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ทุพพลภาพ ผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่สามารถเดินทางไปลงทะเบียนหรือเดินทางไปใช้จ่ายวงเงินที่ได้รับผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้) เป็นต้น ประมาณ 2.5 ล้านคน จำนวน 200 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 6 เดือน เป็นวงเงินรวม 3,000 ล้านบาท
ทั้งนี้กระทรวงการคลัง ตั้งเป้าทั้ง 4 โครงการครอบคลุมเป้าหมาย 51 ล้านคน คาดว่าจะช่วยรักษากำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจ จากการเติมเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จำนวน 473,000 ล้านบาท อีกทั้งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน เพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้งรักษาระดับและทิศทางของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพื่อให้เป็นไปได้อย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2564