“โฆษกศบศ.” แจงโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เผยเปิดลงทะเบียนพรุ่งนี้จนกว่าจะครบ 4 ล้านสิทธิ ลั่นทุกโครงการที่ “บิ๊กตู่” ออกแบบต้องการช่วยประชาชนทุกกลุ่ม
นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เปิดเผยว่า โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้เป็นอีกโครงการหนึ่งที่รัฐบาลออกมาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศผ่านผู้มีกำลังซื้อ และสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม กลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ทื่มีกำลังซื้อโดยกำหนดไม่เกิน 4 ล้านคน โดยประชาชนที่เข้าร่วมจะต้องเติมเงินของตัวเอง ซึ่งแตกต่างจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เป็นการบรรเทาค่าครองชีพพื้นฐานในชีวิตประจำวัน ทุกโครงการที่รัฐบาลออกมาจะถูกออกแบบมาด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ให้กลุ่มเป้าหมายแตกต่างกัน ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องการช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่ม
นายธนกรกล่าวต่อว่า โครงการดังกล่าวจะเปิดให้ประชาชนผู้สนใจลงทะเบียนวันแรกในวันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน 2564 ตั้งแต่เวลา 06.00 น. – 22.00 น. ของทุกวันเป็นต้นไปจนกว่าจะครบ 4 ล้านสิทธิ โดยคุณสมบัติของประชาชนที่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ จะต้องเป็นประชาชนสัญชาติไทยที่มีบัตรประจำตัวประชาชน อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือได้รับสิทธิโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ หรือไม่ใช้สิทธิโครงการคนละครึ่งระยะที่ 3
ทั้งนี้ ผู้ที่เคยรับสิทธิโครงการของรัฐ อาทิ ชิมช้อปใช้ เราเที่ยวด้วยกัน คนละครึ่ง เราชนะ ม.33 เรารักกัน สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com หรือผ่าน g-Wallet บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการข้างต้นสามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com เมื่อประชาชนลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว จะได้รับ SMS แจ้งสิทธิภายใน 3 วัน โดยก่อนการใช้สิทธิครั้งแรก ผู้ได้รับสิทธิตามโครงการจะต้องยืนยันตัวตนเพื่อใช้ g-Wallet บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ด้วยบัตรประจำตัวประชาชน โดยผู้ที่ไม่เคยยืนยันตัวตนด้วยบัตรประจำตัวประชาชนสามารถยืนยันตัวตนได้ที่สาขาธนาคารกรุงไทย จำกัด มหาชน หรือตู้เอทีเอ็มสีเทาของธนาคารกรุงไทย หรือผู้ที่มีแอปพลิเคชัน KrungthaiNext สามารถยืนยันตัวตนผ่าน KrungthaiNext ได้
นายธนกรกล่าวอีกว่า เมื่อยืนยันตัวตนเรียบร้อยแล้วจะสามารถใช้จ่ายเพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการ ได้แก่ ค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป ค่าบริการนวด สปา ทำผมทำเล็บ (ไม่รวมถึงสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ บัตรกำนัล (Gift voucher) บัตรเงินสด (Gift card) และสินค้าหรือบริการที่เป็นการชำระค่าสินค้าหรือบริการล่วงหน้า เพื่อรับบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ (e – Voucher) กับร้านค้าที่ติดตั้งแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2564 ในเวลา 06.00–23.00 น.
โดยวงเงินใช้จ่ายที่จะนำมาคำนวณสิทธิ e – Voucher ไม่เกิน 60,000 บาทต่อคน ซึ่งยอดใช้จ่ายที่นำมาคำนวณสิทธิต้องไม่เกิน 5,000 บาทต่อคนต่อวัน และจะได้รับสิทธิ e – Voucher สะสมสูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการ โดยยอดใช้จ่ายจริงตั้งแต่ 1-40,000 บาทแรก ได้รับ e – Voucher ร้อยละ 10 ของยอดใช้จ่าย แต่ไม่เกิน 4,000 บาทต่อคน และยอดใช้จ่ายจริงตั้งแต่ 40,001 – 60,000 บาท ได้รับ e – Voucher ร้อยละ 15 ของยอดใช้จ่าย แต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ซึ่งสิทธิ e -Voucher จะคืนเป็นวงเงินเข้าใน g – Wallet ทุกวันที่ 7 ของเดือนถัดไป ทั้งนี้ สามารถใช้จ่ายด้วย e -Voucher ที่ร้านที่เข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2564 โดยไม่สามารถแลกเป็นเงินสดได้.