เร่งแก้วิกฤตผู้ป่วยล้น!  กระทรวงสาธารณสุข  จับมือภาคเอกชน เตรียมพัฒนาเทคโนโลยีรองรับมาตรการ Home Isolation ให้ผู้ป่วยโควิดสีเขียวรักษาที่บ้าน  เพิ่มพื้นที่เตียงดูแลผู้ป่วยอาการหนัก

นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 โรงพยาบาลศรีธัญญา ว่า สถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ยังมีการระบาด ตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงอย่างต่อเนื่อง ในวันที่ 28 มิ.ย.จะมีการประชุมเครือข่ายกรมการแพทย์และโรงเรียนแพทย์ เพื่อแก้ไขและจัดลำดับความสำคัญ การดูแลผู้ป่วยหนักสีแดงที่มีอาการรุนแรง ให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและมีเตียงรองรับเพียงพอ ลดการเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด

โดยมีข้อเสนอการดูแลกักตัวที่บ้าน Home Isolation เน้นในผู้ป่วยโควิดสีเขียวที่ไม่มีอาการรักษาที่บ้าน เพื่อเข้าระบบ ให้มีเตียงดูแลผู้ป่วยอาการหนัก ได้มีการหารือกับภาคเอกชนพัฒนาเทคโนโลยี เช่น จัดทำระบบติดตามตัว ระบบข้อความแจ้งเตือน และระบบการรายงานผลออกซิเจนและอุณหภูมิ รายงานผลไปยังโรงพยาบาลต้นสังกัดหรือโรงพยาบาลที่ดูแล ให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมทันท่วงทีและเร็วที่สุด ป้องกันกรณีที่มีอาการหนัก แต่ไม่ได้รับการดูแล รวมถึงเป็นการช่วยลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์อีกด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเดินหน้าพัฒนา

      
“ที่ผ่านมาได้ลงพื้นที่หน้างานเห็นบุคลากรทางการแพทย์ทำงานกันอย่างหนักและเต็มกำลังความสามารถ หลายท่านมีความอ่อนล้า ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านเข้มแข็ง ตั้งใจทำประโยชน์เพื่อดูแลประชาชน เพื่อผ่านพ้นวิกฤตโควิดนี้ไปด้วยกัน” นายสาธิตกล่าวและว่า

      
สำหรับในวันที่ 28 มิ.ย.64 ได้ลงมาเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนโรงพยาบาลศรีธัญญา ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดฉีดภายใต้กระทรวงสาธารณสุข ให้บริการในพื้นที่ กทม. ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา สามารถรองรับประชาชนได้มากถึง 2,000 – 3,000 คนต่อวัน ให้บริการฉีดวัคซีนในกลุ่มบุคลากรด่านหน้า เช่น ทหาร ตำรวจ และบุคลากรทางการศึกษา เป็นต้น โดยจองคิวผ่านหน่วยงาน/องค์กร และลงทะเบียนออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชัน Queq ของโรงพยาบาล พบว่าที่นี่มีการจัดระบบอย่างเหมาะสม มีความคล่องตัว ประชาชนได้รับความสะดวก ทั้งสถานที่ การนัดหมายและการให้บริการ

นอกจากนี้ ยังช่วยแบ่งเบาภาระงานจากศูนย์ฉีดวัคซีนสถาบันบำราศนราดูรได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม มีการเตรียมแผนรองรับนโยบายของรัฐบาลในการเร่งฉีดให้แก่ 2 กลุ่มเสี่ยง คือผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และ 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง เนื่องจากพบว่าสัดส่วนการเสียชีวิตพบมากกว่ากลุ่มอื่น หากมีวัคซีนเพียงพอ.