“บิ๊กป้อม” สั่งเร่งหาต้นทางน้ำเสียลงคลองแสนแสบ หลังพบคุณภาพน้ำโดยรวมเสื่อมโทรมมาก
พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรียกประชุมคณะอนุกรรมการบริหาร พัฒนา อนุรักษ์ และฟื้นฟูคลองแสนแสบ ครั้งที่ 1/65 ผ่านระบบ VTC ณ มูลนิธิป่ารอยต่อฯ เพื่อเร่งขับเคลื่อนระบบขนส่งทางน้ำและแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กระทบต่อประชาชนในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ตามนโยบายของรัฐบาล
ที่ประชุมรับทราบ ผลความก้าวหน้าการดำเนินร่วมกันของ 8 หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรุงเทพมหานคร องค์การจัดการน้ำเสีย กรมเจ้าท่า กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กรมชลประทาน และ จว.ฉะเชิงเทรา โดยมีงานที่สำคัญตามแผนหลัก 5 เป้าประสงค์ คือ การแก้ไขปัญหามลภาวะและคุณภาพน้ำ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทำลายทรัพยากรน้ำ การปรับปรุงภูมิทัศน์ และการเสริมสร้างความปลอดภัยในการสัญจรทางน้ำของประชาชน ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการ 11 ปี (64 – 67) รวม 84 โครงการ
ภาพรวมคลองแสนแสบ ยาวรวม 72 กม.เชื่อมโยงลุ่มน้ำเจ้าพระยาและบางปะกงในพื้นที่ กทม.และจังหวัดฉะเชิงเทรา ปัญหาคุณภาพน้ำโดยรวม พบอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมมาก ปริมาณน้ำเสียที่ระบายลงคลอง 807,672 ลบ.ม./ วัน โดยมีน้ำเสียที่ไม่มีการจัดการกว่าร้อยละ 50 และมีโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ ฉะเชิงเทรา 9 แห่ง อยู่ในข่ายเฝ้าระวังและตรวจสอบกำกับดูแล มีแผนงานโครงการระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย ที่เตรียมการก่อสร้างรองรับใน 5 พื้นที่ สำหรับการเสริมสร้างความปลอดภัยในการสัญจรทางน้ำ ช่วงวัดศรีบุญเรือง – สำนักงานเขตมีนบุรี ส่วนต่อขยาย ระยะทาง 10.5 กม.คาดว่าจะเปิดให้บริการประชาชน ใน พ.ค.65
ต่อจากนั้น ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาและให้ความเห็นชอบในหลักการ โครงการบำบัดน้ำเสียมีนบุรี ระยะที่ 2 (กทม.) ที่สามารถบำบัดน้ำเสียได้ 42,000 ลบ.ม./วัน โดยขอให้นำเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณาก่อน และให้วางแผนการก่อสร้างให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำ เพื่อมิให้กระทบต่อการก่อสร้างและการระบายน้ำ
พล.อ.ประวิตรกล่าวย้ำว่า ขอให้กระทรวงมหาดไทยและ กทม. รวมทั้งกรมโรงงานอุตสาหกรรม และกรมควบคุมมลพิษ เร่งสำรวจแหล่งกำเนิดมลพิษที่อยู่ริมคลองให้แล้วเสร็จภายใน ก.พ.65 และบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง จริงจังควบคู่กันเป็นการเร่งด่วน เพื่อหยุดต้นทางน้ำเสียที่ไหลลงคลองให้ได้ โดยเฉพาะหลายชุมชน ที่ยังไม่มีการบำบัดน้ำเสีย ซึ่งต้องทำความเข้าใจและสร้างการมีส่วนร่วมไปพร้อมๆ กัน โดยขอให้ดึงเยาวชนในสถานศึกษานำร่อง 8 แห่งเข้าร่วมกิจกรรม สร้างจิตสำนึกและการตระหนักรู้ไปพร้อมๆ กัน
พร้อมทั้งขอให้ กทม.เร่งจัดหาเรือขุดตะกอน เพื่อจัดการกับตะกอนท้องคลอง และพิจารณาซ่อมสะพานข้ามคลองที่ชำรุดทรุดโทรม ให้ประชาชนสัญจรอย่างสะดวกและปลอดภัยเป็นการเร่งด่วน และกำชับให้กรมเจ้าท่า เร่งปรับปรุงท่าเรือต้นแบบ ขยายผลไปยังท่าเรืออื่นๆ โดยคำนึงถึงความสะดวกและปลอดภัย พร้อมทั้งให้เร่งนำเรือไฟฟ้ามาใช้แทนเรือเครื่องยนต์ดีเซลที่เป็นปัญหามลภาวะ
พล.อ.ประวิตรยังกล่าวว่า การดำเนินโครงการฯ ในภาพรวม มีความต่อเนื่องถึง 11 ปีและใช้งบประมาณจำนวนมาก ต้องบูรณาการไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและให้เกิดความโปร่งใส คุ้มค่า มีความสมดุลและยั่งยืน สอดคล้องวิถีชีวิต สภาพแวดล้อมและการท่องเที่ยว โดยต้องให้ชุมชนหรือประชาชนในแต่ละพื้นที่ มีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์ร่วมกัน เพื่อยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนใน กทม.ให้ครอบคลุมในทุกมิติร่วมกัน.