“ปวีณา” พาอดีตพยาบาลเหยื่อ “ฮารุ” เข้าพบ “บิ๊กโจ๊ก” ติดตามคดี
วันที่ 20 ต.ค.65 เวลา 15.00 น. นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี พาอดีตพยาบาลสาว 2 ราย พร้อมทั้งแม่และน้องชายของอดีตพยาบาลอีก 1 ราย ที่รักษาตัวอยู่ รพ.ตำรวจ ซึ่งทั้งหมดตกเป็นเหยื่อ “ฮารุ” เข้าพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ขอให้ช่วยติดตามคดีให้ถึงที่สุด และพิจารณาช่วยเรื่องหนี้สินและทรัพย์สินที่ถูกหลอกไปขายหลายสิบล้านบาท ยึดทรัพย์จากผู้กระทำผิดมาใช้หนี้ วอนช่วยกลับเข้าทำงานพยาบาลให้เลี้ยงชีพได้ และขอมูลนิธิปวีณาฯ ช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัย
โดยก่อนหน้านี้อดีตพยาบาลสาว 2 ราย เข้าพบนางปวีณา ให้ข้อมูลระหว่างถูก “ฮารุ” กักขัง 3 ปี บังคับหาเงินและทารุณกรรม น้ำร้อนลวกทั้งตัว เตารีดนาบขา ตบตี ใช้ไม้ตี กล้อนผม ส่วนพยาบาลอีกคนที่มีลูก 10 ขวบ กับ 7 ขวบ ก็ถูกกระทำสาหัสเช่นเดียวกัน อีกทั้งให้แม่กล้อนผมลูก ตีลูกตัวเองเพื่อให้ลูกเกลียดชัง เหยื่อพยายามฆ่าตัวตายโดยการกินยา 2 ครั้ง แต่ไม่สำเร็จ และเคยคิดจะกระโดดคอนโดมิเนียมชั้น 7 จบชีวิต เพราะหมดตัวและเป็นหนี้สูญกว่า 10 ล้านบาท แต่ห่วงคนข้างหลังต้องมาใช้หนี้ ขอให้มูลนิธิปวีณาช่วยติดตามคดีพร้อมพาไปตรวจร่างกาย สภาพจิตใจ และอยากขอกลับเข้าทำงานพยาบาล รวมทั้งดูแลความปลอดภัย
นางสาวมุก อายุ 48 ปี และนางสาวพลอย อายุ 34 ปี อดีตพยาบาล (ทั้งสองนามสมมุติ) เข้าให้ข้อมูลต่อ นางปวีณา กรณีตกเป็นเหยื่อ “ฮารุ-ตรีเพชรรัตน” 2 ผู้ต้องหา ลวงใช้หนี้ทิพย์ 140 ล้านบาท จากการอุปโลกน์ขายคอลลาเจน กักขังทำร้ายร่างกายทั้งโกนผมและนํ้าร้อนลวก เอาเตารีดร้อนๆ นาบขาทั้ง 2 ข้าง ตบหน้าทุกวัน ซ้ำๆ รัวๆ และยังให้แม่พยาบาลตบหน้าลูก กล้อนผมลูก ให้ลูกเกลียดชังแม่ กระทำทารุณนานกว่า 3 ปี เหตุเกิดในคอนโดมิเนียมหรูใจกลางกรุงเทพฯ
สืบเนื่องจากวันศุกร์ที่ 14 ต.ค. 65 เวลา 17.00 น. ที่สำนักงานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี นายบูม (นามสมมุติ) อดีตสามีพยาบาลสาว เข้าร้องทุกข์ต่อ นางปวีณาขอให้ช่วยประสานตำรวจเข้าช่วยเหลืออดีตภรรยาและลูกสาว 10 ขวบ และลูกชาย 7 ขวบ ถูกกักขังไว้ที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ย่านบางพลัด กทม.
ขณะที่นางสาวมุก (อดีตพยาบาล) เล่าว่า รู้จักกับนายฮารุ ช่วงเดือน มิ.ย.64 จากนั้นนายฮารุได้ชักชวนให้มาลงทุนเป็นตัวแทนกระจายสินค้าคอลลาเจนและเซรั่ม ระยะหลังนายฮารุอ้างว่าสินค้าคอลลาเจนและเซรั่มขาดทุน พวกตนเองจะต้องรับผิดชอบหาเงินมาคืน จนต้องขายทรัพย์สินรถ บ้าน กู้เงินจากที่ต่างๆ เรื่อยมา เป็นจำนวนเงินกว่า 10,000,000 บาท จนหมดตัว และนายฮารุยังบังคับให้ทำงานในแต่ละวันต้องหายอดให้ได้ตามที่กำหนด หากไม่ได้ยอดก็จะทำร้าย ทุบตี ทารุณ โดยการใช้เตารีดนาบที่ขา
ล่าสุดช่วงเดือน ส.ค.65 ถูกเอาน้ำร้อนที่กำลังต้มเดือดราดที่ลำตัว และเคยคิดจะฆ่าตัวตายโดยการกระโดดตึกคอนโดมิเนียมชั้น 7 แต่เมื่อคิดถึงหน้าคนในครอบครัวก็กลัวว่าจะเดือดร้อน เพราะนายฮารุ ได้ข่มขู่เอาไว้ว่าจะเอาเรื่องกับญาติพี่น้องด้วย จึงต้องจำทนอยู่อย่างทรมานมาหลายเดือน กระทั่งวันที่ 16 ต.ค.65 มีเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าไปช่วยเหลือ เหมือนได้ชีวิตใหม่กลับมา แต่ขณะนั้นยังหวาดกลัวอิทธิพลของนายฮารุที่เคยข่มขู่ต่างๆ นานา จึงทำให้ไม่กล้าพูดความจริง ก่อนจะตัดสินใจร้องขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณาฯ ขอให้ดำเนินคดีกับนายฮารุ และตรีเพชรรัตน ให้ถึงที่สุด
ด้านนางสาวพลอย อายุ 34 ปี อดีตพยาบาล เล่าว่า รู้จักกับนายฮารุตั้งแต่ปี 63 จากการแนะนำของคนที่รู้จัก ก่อนที่นายฮารุจะชักชวนทำธุรกิจขายของออนไลน์ โดยตนเองขอเงินแม่มาทำทุนก่อนที่นายฮารุจะเอาเงินของตนเองไปกว่า 3 แสนบาท จนต้องต้องจำนำรถยนต์ ขายที่ดินรวมกว่า 1 ล้านบาทนำเงินไปให้นายฮารุอีก
นอกจากนี้ ในเวลา 13.00 น. นางปวีณาพาครอบครัวเหยื่อพยาบาลอีกราย ประชุมสหวิชาชีพกับนักสังคมสงเคราะห์ ศูนย์พึ่งได้ รพ.ตำรวจ ในเรื่องการดูแลสภาพจิตใจของ 3 แม่ลูก
นางปวีณากล่าวว่า ทางมูลนิธิจะให้การช่วยเหลือเร่งด่วนกับเหยื่อทั้ง 3 รายนี้
1.จะพาไป รพ.ตำรวจ เพื่อรักษาบาดแผลทั้งร่างกายและจิตใจ เนื่องจากมีแผลที่ถูกทำร้ายตามร่างกาย รวมทั้งเหยื่อ 1 ราย เริ่มป่วยเป็นโรคไต ขาบวม อ่อนเพลีย เครียด นอนไม่หลับ และต้องฟื้นฟูสภาพจิตใจ
2.พาไปพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เพื่อให้ช่วยติดตามคดี และพิจารณาเรื่องหนี้สินและทรัพย์สินที่ถูกหลอกไปขายจำนวนหลายสิบล้านบาท ขอให้ยึดทรัพย์จากผู้กระทำผิดมาใช้หนี้
3.จะประสานกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เพื่อให้เหยื่อได้รับเงินเยียวยา
4.มูลนิธิปวีณาฯ จะติดตามคดีอย่างใกล้ชิดร่วมกับตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้เสียหายได้รับความเป็นธรรมต่อไป.