กทม.ยืนยันค่าโดยสารสายสีเขียว 104 บาท เหมาะสมแล้ว

ประพาส เหลืองศิรินภา ผอ.สำนักจราจรและขนส่ง กทม.

นายประพาส เหลืองศิรินภา  ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง กทมเปิดเผยว่า การเปิดให้บริการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายช่วงแบริ่งสมุทรปราการ และหมอชิตสะพานใหม่คูคต ที่ทยอยเปิดให้บริการเดินรถมาตั้งแต่วันที่ 3 เม.. 61 และเปิดให้บริการเดินรถเต็มทั้งระบบเมื่อวันที่ 16 .. 63 โดยในช่วงทดลองให้บริการขณะที่ยังไม่ได้เดินรถเต็มรูปแบบ ไม่ได้เรียกเก็บค่าโดยสารจากผู้ใช้บริการเป็นเวลาเกือบ 3 ปี  อันเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเปิดให้บริการเดินรถเต็มทั้งระบบแล้ว ประกอบกับกรุงเทพมหานครมีภาระค่าใช้จ่ายในการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย จึงจำเป็นต้องเริ่มเรียกเก็บค่าโดยสารจากผู้ใช้บริการในส่วนต่อขยายสายสีเขียวตั้งแต่วันที่ 16 .. 64 เป็นต้นไป โดยผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก ช่วงหมอชิตอ่อนนุช ยังคงเสียค่าโดยสารในอัตราเดิมและไม่มีการเรียกเก็บค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนกันระหว่างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก(หมอชิตอ่อนนุช และสะพานตากสินสนามกีฬาแห่งชาติกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (ช่วงสะพานตากสินบางหว้า อ่อนนุชแบริ่ง ช่วงแบริ่งสมุทรปราการ และช่วงหมอชิตสะพานใหม่คูคต)  โดยประชาชนจะจ่ายค่าแรกเข้าเพียงครั้งเดียวต่อรอบ

ทั้งนี้จากการคำนวณอัตราค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวสูงสุดตลอดสายจะรวมเป็นเงิน 158 บาท แต่เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนในสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 กรุงเทพมหานครจึงปรับลดอัตราค่าโดยสารสูงสุดตลอดสายลงมาอยู่ที่ 104 บาท  ซึ่งจะส่งผลให้กรุงเทพมหานครจะมีผลขาดทุนจากการดำเนินการส่วนต่อขยายประมาณปีละ 3,000-4,000 ล้านบาท โดยเมื่อนับรวมตั้งแต่ปี 64 – 72 จะมีผลขาดทุนรวมประมาณ30,000-40,000 ล้านบาท 

ที่ผ่านมากรุงเทพมหานครตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน จากการปรับอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยได้ศึกษาแนวทางการดำเนินการต่างๆ ซึ่งเห็นว่า แนวทางการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public-Private Partnership: PPP) เป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการแก้ปัญหาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อให้กรุงเทพมหานครสามารถกำหนดอัตราค่าโดยสารที่ไม่เป็นภาระต่อประชาชนมากเกินไปและจะทำให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณะที่สะดวก ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพต่อไป