“ธนาธร” ชี้ทางหยุดภาวะ “#ย้ายประเทศ” เชื่อยังเร็วไปที่จะยอมแพ้ ประเทศไทยดีกว่านี้ได้ถ้าร่วมกันสู้
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2564 นายธนาธร จึงรุ่งเริงกิจ ประธานคณะก้าวหน้า พร้อมด้วย รศ.ดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร นักวิชาการเศรษฐศาสตร์จากประเทศญี่ปุ่น ร่วมเปิดห้องสนทนาทางแอพพลิเคชั่น Clubhouse พูดคุยในหัวข้อ “นาโนชิปไต้หวัน สภาไทย และเหตุที่คนอยากย้ายประเทศ” เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับประชาชน
นายธนาธร ชี้ให้เห็นว่าปรากฏการณ์อยากย้ายประเทศ หรือที่หลายคนอาจจะเรียกว่าปรากฏการณ์สมองไหลนั้น ไม่ใช่ปัญหาที่เพิ่งเกิดขึ้นในประเทศไทยเพียงอย่างเดียว แต่เกิดขึ้นมาก่อนในหลายประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือไต้หวัน ที่เคยมีสัดส่วนของคนที่เรียนต่อต่างประเทศแล้วไม่กลับมาทำงานที่บ้านเกิด สูงถึง 85%
ซึ่งรัฐบาลไต้หวันได้เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว และรีบดำเนินการปรับเปลี่ยนนโยบาย ที่ไม่เน้นแต่เฉพาะการลงทุนสร้างเทคโนโลยีใหม่เท่านั้น แต่รวมถึงการเปิดบรรยากาศทางการเมือง ที่เคยปกครองด้วยเผด็จการพรรคเดียวและกฎอัยการศึกมาก่อน เปลี่ยนประเทศมาเป็นประชาธิปไตย
ซึ่งส่งผลให้คนไต้หวันจำนวนมากย้ายกลับมาอยู่ที่ประเทศไต้หวันอีกครั้ง รวมทั้งผู้ก่อตั้งบริษัท Taiwan Ship Manufacturing Company ltd. (TSMC) ที่เคยทำงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ปัจจุบันได้กลายมาเป็นบริษัทสัญชาติไต้หวันที่ครองตลาดชิปนาโนบนโลกสูงถึง 90% และกำลังจะลงทุนในชิปนาโนขนาด 3nm ซึ่งเป็นชิปขนาดที่เล็กที่สุดในโลก เพื่อรองรับ digital transformation ของโลก
แต่ถ้าหันกลับมามองในประเทศไทย ไม่นานมานี้เพิ่งมีข่าวการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ซึ่งเป็นอาคารรัฐสภาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในชื่อ “สัปปายะสภาสถาน” ซึ่งใช้เงินลงทุนสูงถึง 12,000 ล้านบาท แต่ไม่ได้เป็นพื้นที่สำหรับประชาชนเข้าไปใช้งานได้ การออกแบบใช้สอยทุกอย่างเป็นไปเพื่อผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ทั้งสิ้น ซึ่งสะท้อนความฝันของรัฐไทย
จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจที่คนรุ่นใหม่จำนวนมาก ซึ่งมีความฝันความทะเยอทะยาน อยากจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้ มีความคิดอยากไปแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าในต่างประเทศ นั่นเพราะความฝันของประชาชนกับความฝันของรัฐเป็นคนละอย่างกัน ไม่ตอบสนองกับความต้องการของประชาชน
ดังนั้น บทเรียนจากไต้หวันจึงมีคุณค่าที่ประเทศไทยสามารถเรียนรู้ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้สมองของคนไทยไหลออกไปนอกประเทศ
ในช่วงหนึ่งของการสนทนา ได้มีผู้ถามนายธนาธรถึงความเห็นต่อกระแสความอยากย้ายประเทศในปัจจุบัน พร้อมกับถามว่าเหตุใดนายธนาธรที่มีโอกาสมากกว่าคนอื่นจึงไม่ออกไปตั้งรกรากในต่างประเทศบ้าง
นายธนาธร ระบุว่าสำหรับตน แม้ว่าในระยะหลังจะเริ่มเห็นความเห็นแก่ได้ของชนชั้นนำ ที่จะปกป้องอำนาจ สถานะ และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจนมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เห็นคนธรรมดาจำนวนมากขึ้นเช่นกัน ที่เริ่มมีความไม่พอใจกับสภาพที่เป็นอยู่
ในขณะเดียวกัน ตนก็เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่จะดีกว่านี้ได้ ขอเพียงมีความจริงใจ ตั้งใจ เอาผลประโยชน์ประชาชนเป็นตัวตั้ง ไม่เอาผลประโยชน์ของชนชั้นนำเป็นตัวตั้ง ตนเชื่อว่าเราสามารถสร้างประเทศไทยที่ดีและน่าอยู่กว่านี้ได้
“ดังนั้น ผมไม่ได้ละทิ้งความเชื่อนี้ แล้วผมคิดว่าถ้าคนที่มีศักยภาพในสังคมไม่กล้าลงมือทำเอง ถ้าทุกคนกลัวแต่เรื่องผลประโยชน์ของตัวเอง ผลประโยชน์ทางธุรกิจ อาชีพการงานของตัวเอง ถ้าทุกคนกลัวหมด มันจะไม่มีใครมาขับเคลื่อนและผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ให้ประเทศไปข้างหน้า วันนี้ยังเร็วไปที่จะยอมแพ้ การเดินทางเพื่อไปสู่จุดนั้นใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี ประวัติศาสตร์ทั่วโลกบอกเราเช่นนั้น บางประเทศใช้เวลาเป็น 100 ปีกว่าจะได้สังคมที่ตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิเสรีภาพ ตระหนักถึงความสำคัญของประชาธิปไตย หลายประเทศใช้เวลาเป็นร้อยปีนะครับ ดังนั้นยังเร็วไปที่จะยอมแพ้” นายธนาธรกล่าว.