รมว.ยุติธรรม แจงผู้ต้องขังติดเชื้อเยอะเหตุจากคนเข้าใหม่ ยันนายกฯ กำชับตลอดให้ดูแลให้ดี “ราชทัณฑ์” เชื่อรับมือได้ ทำเรื่องหายา-วัคซีนให้นักโทษทุกคนแล้ว  ขอเรือนจำทุกจังหวัดยกระดับป้องกัน

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงถึงกรณีผู้ต้องขังในเรือนจำติดโควิด-19 เป็นจำนวนมาก หลังจากประชุมร่วมกับกรมราชทัณฑ์ว่า การป้องกันโควิดในเรือนจำ และผู้ต้องขังทั่วประเทศ แนวทางของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับตลอดให้หมั่นดูแลเอาใจใส่ เพราะหากติดเชื้อจะเกิดการลุกลามได้ง่าย ตอนที่รัฐบาลตั้งใหม่ๆ มารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตอนนั้นมีผู้ต้องขัง 390,000 คนทั่วประเทศ จึงใช้นโยบายลดความแออัด จนขณะนี้เหลือไม่ถึง 310,000 คน เราเตรียมการแก้ปัญหาลดความแออัด จากก่อนผู้ต้องขัง 1 คนมีพื้นที่ไม่ถึง 1 ตร.ม. หากโควิดเข้าไปจะยุ่งยาก ซึ่งตอนนี้เราปรับจนได้ 1.2 ตร.ม. ตามมาตรฐานสากล

นอกจากนี้ กรมราชทัณฑ์ได้ขอพระราชทานอภัยโทษให้กับผู้ต้องขังประพฤติดี ข้อหาไม่ร้ายแรงอีกหลายหมื่นคน และใช้การพักโทษพิเศษ สวมกำไล EM 50,000 คน ซึ่งตอนนี้ติดกำไลแล้ว 20,000 คน รวมทั้งยังมีประมวลกฎหมายยาเสพติด ที่อยู่ระหว่างพิจารณารัฐสภา ซึ่งจะปรับอัตราโทษผู้ต้องขังยาเสพติดให้เหมาะสม จะลดผู้ต้องขังได้เกือบ 50,000 คน นี่คือความพยายามแก้ปัญหาลดความแออัดในเรือนจำ

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการตรวจหาเชื้อในเรือนจำ เราทำได้อย่างรวดเร็ว เพราะได้รถพระราชทานตรวจโควิด ทำให้ตรวจได้เร็ว ซึ่งเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น และเรามีการส่งข่าวให้ญาติทั้งหมดทราบ แต่มีจำนวนมากทำไม่ได้เร็ว ซึ่งตามมาตรฐานสากล ผู้คุม 1 คนจะดูแลผู้ต้องขัง 6 คน แต่สำหรับประเทศไทย  อัตราส่วนคือ 1 ต่อ 33 เพราะเรามีบุคลากรน้อย แต่เราทำงานเต็มที่ ซึ่งปัจจุบันทุกคนเริ่มเข้าใจการทำงานของข้าราชการว่าเราทำงานเต็มที่ ซึ่งทุกเรือนจำข้างในเข้มงวดมาก แต่ 2 เรือนจำที่ติดเชื้อ เป็นเรือนจำที่รับผู้ต้องขังใหม่อยู่ตลอด ต่างจากเรือนจำอื่นๆ ส่วนการออกไปศาล เราได้ประสานกับศาลแต่ละจังหวัดแล้ว ขอให้งดไปในระยะนี้ก่อน เชื่อว่าศาลท่านจะเข้าใจ และสถานการณ์จะคลี่คลายได้

“ผมขอยืนยัน รัฐบาล โดยท่านนายกฯ สั่งกำชับ ประสานงานมาตลอด ให้ดูแลผู้ต้องขังทุกคนอย่างดี หากยาที่ได้จากสาธารณสุขไม่พอ ทางกรมราชทัณฑ์จะจัดซื้อเองเพื่อรักษาทุกคน ขอให้ญาติผู้ต้องขังทุกคนสบายใจได้ นอกจากนี้ยังมีการประสานจากแพทย์แผนไทย เรื่องการใช้ฟ้าทะลายโจรมาใช้ด้วย ยืนยันเราเตรียมพร้อมป้องกันเบื้องต้นมาตลอด” นายสมศักดิ์ กล่าว

ด้าน นพ.วีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า กรมราชทัณฑ์ไม่เคยมีการปิดบังข้อมูล รพ.ราชทัณฑ์มีการตรวจตลอด ซึ่งต้องกรอกเลขบัตรประชาชนสามารถตรวจสอบได้ โดยในเดือน เม.ย. ตรวจพบเพียงหลักร้อยเท่านั้น โดย รพ.สามารถรองรับการตรวจเชื้อได้ทั้ง 2 เรือนจำ แต่อาจจะตรวจได้ช้า แต่เมื่อเราได้รถพระราชทาน จึงตรวจได้เร็วขึ้น และดำเนินการตามหลักการตรวจเชิงรุก 100% เพื่อแยกคนติดเชื้อออก

นพ.วีระกิตติ์กล่าวถึงจังหวัดอื่นๆ ที่มีรายงานการติดเชื้อว่า ก่อนหน้านี้มีที่เรือนจำจังหวัดนราธิวาส แต่ตอนนี้ควบคุมได้แล้ว ส่วนที่อื่นๆ ยังไม่พบ ซึ่งเราได้มีการปรับเพิ่มการกักตัวใหม่เป็น 21 วัน และตรวจเชื้อ 2 ช่วง คือ ตอนเข้าและหลังกักตัว และใช้ราปิดเทส จะได้รวดเร็วในการคัดกรองมากขึ้น

รวมทั้งขณะนี้นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ได้ลงนามอนุมัติจัดหาวัคซีนฉีดให้ผู้ต้องขังทั่วประเทศแล้ว คาดว่าจะได้ภายในเดือน มิ.ย. จะเริ่มกลุ่มเสี่ยงสูง ผู้ที่มีโรคประจำตัวก่อน โดยตอนนี้ฉีดให้ข้าราชการที่ต้องทำงานในกลุ่มเสี่ยงไปบ้างแล้ว เรื่องเหล่านี้เราได้เตรียมความพร้อมไปแล้ว

ขณะที่นายอายุตม์กล่าวว่า การติดเชื้อของทัณฑสถานหญิงกลางมาจากผู้ต้องขังเข้าใหม่ ส่วนเรือนจำพิเศษกรุงเทพมาจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งทุกคนที่ตรวจพบเชื้อได้ส่งรักษาแล้ว มีการจำแนกผู้ต้องขังที่ติดเชื้อทั้งหมดมีสีแดง 4 ราย มี 1 รายใช้เครื่องช่วยหายใจ เนื่องจากโรคประจำตัว ซึ่งเรายังใช้แนวทางบับเบิ้ล แอนด์ซีล และมีห้องกักโรคแยกชัดเจน ส่วนเรื่องของวัคซีน ได้ประสาน อธิบดีกรมควบคุมโรค ในการจัดหาแล้ว  ซึ่งกรมราชทัณฑ์ได้ร่วมกับ สาธารณสุข ทำงานได้ทันเหตุการณ์ และได้แจ้งไปยังเรือนจำทั่วประเทศให้ควบคุมให้ดี

นายสมศักดิ์กล่าวว่า เรามีการสืบสวนโรคอยู่แล้ว หากผลออกมาเป็นอย่างไรจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง ส่วนกรณีที่มีภาพหน้ากากที่บางมากในเฟซบุ๊กได้ให้สอบข้อเท็จจริงแล้ว ในส่วนของญาติผู้ต้องขังที่ไม่สบายใจ เรายืนยันดูแลอย่างดี และจะส่งข่าวกับญาติผู้ต้องขังให้รับรู้ และมีช่องทางให้ญาติติดต่อกรมราชทัณฑ์ได้.