ป.ป.ส.จับไอซ์กว่า200โลซุกโซฟาหวังตบตาเตรียมส่งมาเลเซีย (ชมคลิป)
นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) พร้อมด้วย นายชัยยุทธ คำคูณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร พ.ต.อ.อดิศ เจริญสวัสดิ์ รอง ผบก.ปส.3 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) แถลงข่าวจับกุมนักค้ายาเสพติด พร้อมไอซ์น้ำหนัก 210 กิโลกรัม ซึ่งเป็นการบูรณาการการทำงานของเจ้าหน้าที่หน่วยปราบปรามยาเสพติดระหว่างท่าเรือสากลของอาเซียน หรือ Seaport Interdiction Task Force (SITF) ประกอบด้วย ป.ป.ส. บช.ปส ศุลกากร และศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) ร่วมกันจับกุม ผู้ต้องหา 1 ราย ทราบชื่อ นางสาวสุภาวดี เอี่ยมอุไร อายุ 26 ปี ชาวจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) น้ำหนัก 210 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่ในลังไม้ขนาดเล็ก 9 ลัง ขนาดใหญ่ 1 ลัง ในลังขนาดเล็กมีโซฟาบรรจุลังละ 2 ตัว รวม 18 ตัว ลังใหญ่มีโซฟา 1 ตัว ตรวจสอบพบถุงชาจีน ภายในบรรจุไอซ์ ทั้งหมด 210 ถุง น้ำหนักรวมประมาณ 210 กิโลกรัม
นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า กรณีนี้เจ้าหน้าที่ดำเนินการสืบสวนจนพบว่ามีผู้ติดต่อส่งโซฟาไปยังประเทศมาเลเซีย และจะนำของมาส่งที่บริษัทขนส่งเอกชนแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยจะบรรทุกขนส่งทางเรือ จากการสอบปากคำผู้ต้องหาอ้างว่าได้รับการว่าจ้างมาอีกที ซึ่งตรงนี้เชื่อว่าเชื่อมโยงกับกลุ่มนักค้ายาเสพติดในประเทศเพื่อนบ้าน
จากข้อมูลการจับกุมการลักลอบส่งยาเสพติดไปกับพัสดุต่างประเทศ ยังคงพบไอซ์มากที่สุด มีทั้งลักษณะของการอำพรางหรือซุกซ่อนในชิ้นส่วน/อะไหล่เครื่องยนต์ คอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศ ในเครื่องฟอกอากาศ ในชุดแต่งรถยนต์ (โรบาร์) เป็นต้น ซึ่งคดีนี้แม้จะมีความพยายามคิดหาวิธีอำพรางหรือซุกซ่อนยาเสพติดในรูปแบบโซฟา แต่ก็ไม่พ้นสายตาของเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ สถิติการจับกุมการลักลอบส่งออกยาเสพติดตั้งแต่ 1 ม.ค. ถึงปัจจุบัน พบภาพรวม 13 ประเทศ 68 คดี ของกลางเป็นไอซ์ 204.14 กิโลกรัม เฮโรอีน 21.6 กิโลกรัม กัญชา 10.02 กิโลกรัม คีตามีน 515 กิโลกรัม โคเคน 730 กรัม ยาอี 990 เม็ด และยาบ้า 6,040 เม็ด
“ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ได้เน้นย้ำเรื่องของการขยายผลสืบสวนถึงผู้สั่งการในการลักลอบส่งออกยาเสพติดไปยังต่างประเทศ รวมถึงการประสานความร่วมมือการแลกเปลี่ยนข้อมูลการข่าวไปยังประเทศปลายทาง เพื่อจับกุมนักค้าเสพติดทั้งเครือข่ายให้ได้ทั้งหมด โดยหลังจากนี้จะนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสืบสวน บช.ปส และขยายผลคดีดังกล่าวเพื่อจับกุมตัวการสำคัญในประเทศเพื่อนบ้านต่อไป” นายวิชัยกล่าวทิ้งท้าย.