“ราชทัณฑ์” แจง “ลดโทษ” ผู้ต้องขังเพื่อให้กลับตัวเป็นคนดีตามการบริหารโทษและกรอบกฎหมาย ปัดช่วยเหลือเฉพาะบางกลุ่ม
นายณรงค์ จุ้ยเส่ย รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสสังคมตั้งคำถามผ่านสื่อต่างๆ ถึงหลักเกณฑ์การอภัยโทษว่าอาจมีการให้สิทธิพิเศษต่อผู้ต้องขังบางกลุ่มว่า กรมราชทัณฑ์ขอทำความเข้าใจเพิ่มเติมเพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การอภัยโทษ รวมถึงการบริหารโทษของกรมราชทัณฑ์ ว่าการอภัยโทษมีการสืบทอดเป็นโบราณราชประเพณีเนื่องในโอกาสสำคัญของบ้านเมือง เพื่อให้โอกาสแก่ผู้กระทำผิดได้กลับตนเป็นพลเมืองดี อันจะเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ
ส่วนกรณีที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่ากรมราชทัณฑ์และกระทรวงยุติธรรมมีอำนาจเหนือคำพิพากษาศาล นั้น นายณรงค์ชี้แจงว่า การพิพากษากำหนดโทษเป็นอำนาจของศาล ในส่วนการบริหารโทษเป็นอำนาจของกรมราชทัณฑ์ ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ภายใต้อำนาจของกฎหมาย
สำหรับหลักเกณฑ์ในการที่นักโทษจะได้รับอภัยโทษ ต้องเป็นนักโทษเด็ดขาดที่มีความประพฤติดี ตั้งแต่ชั้นกลางขึ้นไป ส่วนจะได้รับการลดโทษมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับชั้นและประเภทคดีเป็นสำคัญ ประกอบด้วย คดีอาญาทั่วไป คดีอาญาร้ายแรง คดียาเสพติดรายย่อย และคดียาเสพติดรายใหญ่ โดยจะได้รับการลดโทษตามหลักเกณฑ์ คือ คดีอาญาทั่วไป ชั้นเยี่ยม 1 ใน 2, ชั้นดีมาก 1 ใน 3, ชั้นดี 1 ใน 4, ชั้นกลาง 1 ใน 5 ส่วนคดีอาญาร้ายแรง ชั้นเยี่ยม 1 ใน 3, ชั้นดีมาก 1 ใน 4, ชั้นดี 1 ใน 5, ชั้นกลาง 1 ใน 6 สำหรับคดียาเสพติดรายย่อย ชั้นเยี่ยม 1 ใน 5, ชั้นดีมาก 1 ใน 6, ชั้นดี 1 ใน 7, ชั้นกลาง 1 ใน 8 และคดียาเสพติดรายใหญ่ ชั้นเยี่ยม 1 ใน 6, ชั้นดีมาก 1 ใน 7, ชั้นดี 1 ใน 8, ชั้นกลาง 1 ใน 9
“โดยตัวอย่างการคำนวณการลดโทษ สำหรับคดีอาญาทั่วไป นักโทษเด็ดขาดชาย ก. อยู่ในชั้นเยี่ยม กำหนดโทษจำคุก 30 ปี จะได้ลด 1 ใน 2 ตามเกณฑ์ข้างต้น คือจะได้ลด 15 ปี ดังนั้น จึงเหลือกำหนดโทษจำคุกอีก 15 ปี แต่หากเป็นคดีอาญาร้ายแรง ถ้านักโทษเด็ดขาดชาย ก. เป็นผู้กระทำผิดในคดีอาญาร้ายแรง มีกำหนดโทษจำคุก 30 ปี และเป็นชั้นเยี่ยมเช่นเดียวกัน จะได้รับการลดโทษ 1 ใน 3 คือจะได้ลด 10 ปี ดังนั้น จึงเหลือกำหนดโทษจำคุกอีก 20 ปี” นายณรงค์กล่าวและว่า
กรณีของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในคดีจำนำข้าวที่ปรากฏเป็นข่าว ถือเป็นคดีอาญาร้ายแรง ศาลได้ตัดสินจำคุก มีกำหนดโทษ 48 ปี และได้รับการอภัยโทษจำนวน 4 ครั้ง ดังนี้ ครั้งที่ 1 วันที่ 15 ส.ค.63 ได้ลดโทษ 12 ปี (ลดโทษ 1 ใน 4 ชั้นดีมาก) เหลือโทษจำคุก 36 ปี , ครั้งที่ 2 วันที่ 5 ธ.ค.63 ได้ลดโทษ 12 ปี (ลดโทษ 1 ใน 3 ชั้นเยี่ยม) เหลือโทษจำคุก 24 ปี , ครั้งที่ 3 วันที่ 28 ก.ค.64 ได้ลดโทษ 8 ปี (ลดโทษ 1 ใน 3 ชั้นเยี่ยม) เหลือโทษจำคุก 16 ปี และ ครั้งที่ 4 วันที่ 6 ธ.ค.64 ได้ลดโทษ 5 ปี 4 เดือน (ลดโทษ 1 ใน 3 ชั้นเยี่ยม) เหลือโทษจำคุก 10 ปี 8 เดือน
นายณรงค์กล่าวปิดท้ายว่า กรมราชทัณฑ์ขอให้สังคมและประชาชนเชื่อมั่นในการปฏิบัติงานว่าเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ภายใต้กรอบของกฎหมาย และจะปฏิบัติต่อผู้ต้องขังทุกคนด้วยความเสมอภาค เท่าเทียม ไม่มีการเลือกปฏิบัติ หรือให้สิทธิประโยชน์ต่อผู้ต้องขังกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นการเฉพาะ พร้อมให้โอกาสแก่ผู้กระทำความผิดทุกคนได้กลับตนเป็นพลเมืองที่ดีของสังคมต่อไป.