“รอง ผบ.ตร.” แถลง รวบแก๊ง Call Center อ้างเป็นตำรวจ หลอกผู้เสียหายโอนเงิน สร้างเรื่องพัวพันคดีฟอกเงิน (ชมคลิป)
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. หรือ PCT, พล.ต.ท.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ฯ, พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5, พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม./หน.ชุดปฏิบัติการที่ 1 PCT, พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.ภ.2/หน.ชุดปฏิบัติการที่ 5 PCT ร่วมแถลงจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลอกผู้เสียหายโอนเงิน 60 ราย ความเสียหายกว่า 73 ล้านบาท
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายมาแจ้งความที่ สภ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ว่าได้รับการติดต่อจากคนร้ายอ้างเป็นบริษัทขนส่ง DHL แจ้งว่ามีพัสดุถูกส่งมาจากต่างประเทศและมีความเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน คนร้ายได้ปลอมบัญชีไลน์โดยใช้ชื่อว่า “สภ.เชียงใหม่” ติดต่อกับผู้เสียหายและหลอกให้โอนเงินจำนวนกว่า 500,000 บาท ไปยังบัญชีของกลุ่มคนร้าย จึงสั่งการให้ตำรวจ PCT ทำการสืบสวนจนทราบว่าธุรกรรมทางการเงินของกลุ่มคนร้ายนั้นทำการโอนเงินตามคำสั่งซึ่งอยู่ประเทศกัมพูชา และมีลักษณะเป็นการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศผิดกฎหมายอีกด้วย คนร้ายมีเป็นกลุ่มแก๊ง และใช้อุบายในการหลอกลวงผู้เสียหายหลากหลายวิธี เช่น หลอกว่าผู้เสียหายพัวพันยาเสพติด หรือการฟอกเงิน หลอกให้ลงทุนในแพลตฟอร์มต่างๆ มีผู้เสียหายแล้ว 60 ราย หลงเชื่อโอนเงินไปให้คนร้าย มูลค่าความเสียหายกว่า 73 ล้านบาท
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์กล่าวว่า คดีนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ศูนย์ PCT นำโดย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส. สตม./หน.ชุดปฏิบัติการ 1 PCT, พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม. ทำการสืบสวน จนทราบว่าสถานที่ที่คนร้ายใช้ในการกระทำความผิดตั้งอยู่ที่ประเทศกัมพูชา มีการแบ่งหน้าที่กันออกเป็น 5 กลุ่ม คือ
1.คนร้ายระดับสั่งการ
2.คนร้ายทำหน้าที่จัดหาบัญชีและเปิดบัญชีธนาคาร
3.คนร้ายที่ติดต่อหลอกลวงผู้เสียหาย สาย 1 สาย 2 สาย 3
4.คนร้ายทำหน้าที่จัดการเรื่องการเงิน และ
5.คนร้ายจัดหาคนไปทำงานเพื่อหลอกลวงคนไทย
จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานส่งให้สถานีตำรวจ ซึ่งรับคำร้องทุกข์จากผู้เสียหาย เพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับคนร้ายมาดำเนินคดี ซึ่งศาลได้อนุมัติหมายจับแล้ว จำนวน 27 หมาย โดย ภ.5 และ สตม. สามารถจับกุมตัวได้แล้ว 23 หมายจับ
พล.ต.ต.พันธนะกล่าวว่า ชุดสืบสวนได้เดินทางไปยังประเทศกัมพูชา เพื่อประสานติดตามจับกุมตัวผู้กระทำความผิดกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยให้ได้ โดยทางการกัมพูชาได้นำกำลังเข้าตรวจค้นสถานที่ซึ่งเชื่อว่าใช้ในการกระทำความผิดในเมืองพระสีหนุ และเมือง พนมเปญ ผลการตรวจค้นพบคนไทยซึ่งทำงานให้กับแก๊ง Call Center 39 คน โดยเป็นบุคคลตามหมายจับ 1 ราย จากนั้นทางการกัมพูชา ได้ส่งตัวคนไทยทั้ง 39 คน มาให้สำนักกงานตรวจคนเข้าเมืองรับตัวไว้เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ด้าน พล.ต.ท.ปิยะกล่าวว่า ในส่วนของ สภ.สันทราย จ.เชียงใหม่นั้น ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 5 ราย ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นและร่วมกันฟอกเงิน” ประกอบด้วย
1.นางกุลยากรณ์ สงวนนามสกุล ทําหน้าที่ รับจ้างเปิด บัญชีธนาคาร (ถูกจับกุมแล้ว)
2.น.ส.จุฑาพร สงวนนามสกุล ทําหน้าที่ รับจ้างเปิดบัญชีธนาคาร (ถูกจับกุมแล้ว)
3.นายพยัคฆพล สงวนนามสกุล ทําหน้าที่โอนเงินตาม คําสั่งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (Internet banking) และทําธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศผิด กฎหมาย (โพยก๊วน) ในพื้นที่ประเทศกัมพูชา
4.น.ส.สาวิตรี สงวนนามสกุล ทําหน้าที่รวบรวมสมุด บัญชีและซิมการ์ดโทรศัพท์จากบุคคลอื่นๆ
5.นายชัยยศ สงวนนามสกุล ทําหน้าที่รวบรวมสมุดบัญชีและซิมการ์ดโทรศัพท์จากบุคคลอื่นๆ
พล.ต.ต.ธีรเดชกล่าวอีกว่า ตำรวจ PCT ได้ร่วมกับ บก.สส.ภ.2 สืบสวนขยายผลจากคดีข้างต้น ทราบว่าจะมีการเคลื่อนย้ายคนจีนบางส่วนเข้ามาตั้งศูนย์ปฏิบัติการในประเทศไทยผ่านทางจังหวัดสระแก้ว จึงได้ร่วมกันออกสืบสวนตามแนวชายแดนภาคตะวันออก พบรถยนต์ต้องสงสัย 2 คัน ขับวนเวียนไปมา บริเวณริมถนนคลองไก่เถื่อนทับทิมสยาม อ.คลองหาด จ.สระแก้ว จึงขอทำการตรวจค้น ปรากฏพบคนไทย 2 คน คนจีนอีก 9 คน ตรวจสอบเอกสารคนจีน พบว่าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ภายในรถพบอุปกรณ์สำหรับเปิดออฟฟิศคอลเซ็นเตอร์ จึงควบคุมตัวทั้ง 11 คน พร้อมรถยนต์ 2 คัน โทรศัพท์มือถือ 22 เครื่อง แจ้งข้อหา “ช่วยเหลือ ซ่อนเร้นหรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ เพื่อให้บุคคลต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม” และ “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” และ “ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดสระแก้วที่ 944/2563 ห้ามเคลื่อนย้ายบุคคลต่างด้าวเข้ามาในจังหวัด” ทั้งนี้อยู่ระหว่างดำเนินการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติมเพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มชาวจีนในข้อหาฉ้อโกงประชาชนต่อไป
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.สุวัฒน์ มีความห่วงใย เกรงประชาชนจะตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ซึ่งประชาชนหันมาใช้การซื้อขายทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ได้ประสานความร่วมมือกับนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยตลอด เพื่อเร่งสืบสวนปราบปรามผู้กระทำผิด และสร้าง Cyber Vaccine ให้กับประชาชน หลังจากนี้ จะดำเนินการตรวจสอบและขยายผลเส้นทางการเงินของผู้ต้องหาและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายฟอกเงินต่อไป
และขอย้ำว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่มีนโยบายให้ผู้เสียหายหรือใครโอนเงินมาเพื่อตรวจสอบธุรกรรมใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ หากท่านพบผู้แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ เช่น เจ้าหน้าที่ตำรวจ ป.ป.ส., ปปง. หรือ DSI ขอให้ใช้ความระมัดระวังการถูกแอบอ้าง หากพบเบาะแส หรือเกรงจะตกเป็นเหยื่อ สามารถแจ้งข้อมูลเข้ามาได้ที่ www.pct.police.go.th หรือ สายด่วนศูนย์ PCT 1599 ตลอด 24 ชม. หรือสายตรง 081-866-3000 เฉพาะเวลาราชการ เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบข้อมูลให้.