“PCT” แจง “พล.ต.ต.อังกูร” ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ปลอมเสียงเพื่อนสนิทหลอกโอนเงินเป็นภัยรูปแบบใหม่

พ.ต.อ.ชินวุฒิ ตั้งวงษ์เลิศ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT ชี้แจงกรณี พลตำรวจตรีอังกูร  อาทรไผท อดีต ผบก.ทล. แชร์ข้อมูลเพื่อเป็นวิทยาทาน รำพันถึงประสบการณ์ที่ถูกแก๊ง Call Center ปลอมเสียงเป็นเพื่อนสนิทโทรมาหลอกยืมเงิน  โดยให้ข้อสังเกตไว้ได้อย่างน่าสนใจว่า ที่หลงเชื่อเพราะ 1.น้ำเสียงเหมือนคนที่แอบอ้าง 2.โทรมาแจ้งเบอร์โทรศัพท์ใหม่ให้ทราบแล้วทิ้งระยะวันนึงแล้วจึงเริ่มปฏิบัติการ 3.อ้างเรื่องซื้อโทรศัพท์ใหม่ (เรื่องที่เป็นไปได้) 4.ใช้เบอร์บัญชีผู้อื่นรับโอน (ทำให้คิดว่าเป็นเบอร์คนขาย) 5.คนที่ถูกแอบอ้างมีฐานะสามารถใช้คืนได้

ต่อมาเมื่อรู้ตัวว่าเป็นเหยื่อมิจฉาชีพและประสงค์ดำเนินคดี พบว่ามีปัญหาในระบบจัดการกับแก๊ง Call Center เช่น เมื่อโทรไปแจ้งความก็พบกับระบบรับโทรศัพท์แบบอัตโนมัติของศูนย์ปราบปรามไซเบอร์, โทรไปที่หน่วยงานต่างๆ ไม่มีผู้รับสาย หรือแจ้งว่าจะติดต่อกลับ  สุดท้ายไปพบพนักงานสอบสวน สน.ประเวศ เพื่อร้องทุกข์ดำเนินคดีกับคนร้าย ได้รับฟังปัญหาจากพนักงานสอบสวนท้องที่ว่า หน่วยงานเฉพาะทางไม่ทำ โยนให้ท้องที่หมดนั้น

ขอเรียนชี้แจงในเรื่องนี้ว่า ศูนย์ PCT ได้ให้ฝ่ายสืบสวนประสานสนับสนุนข้อมูลกับตำรวจพื้นที่แล้ว และทำเรื่องอายัดบัญชีกับทางธนาคารเรียบร้อยแล้ว จากนี้ไปจะเร่งติดตามจากบัญชีม้า ตรวจสอบความเชื่อมโยง และรายงานไปยัง ปปง. เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินของผู้ที่เกี่ยวข้อง หากมีความคืบหน้าในคดีจะแจ้งให้ทราบโดยเร็ว

รวมทั้งได้มีการประชาสัมพันธ์เตือนภัยเรื่องการปลอมหรือแฮก Line หรือ Facebook ทักข้อความไปหลอกยืมเงิน โดยแนะนำว่าควรโทรศัพท์ หรือวิดีโอคอลตรวจสอบตัวตนว่าใช่เจ้าตัวหรือไม่

กรณีการหลอก โดยการเลียนเสียงเพื่อนโทรหลอกยืมเงิน ยังไม่พบว่าเคยมีมาก่อนและไม่ทราบว่าคนร้ายเลียนเสียงได้จริงหรือไม่ ต้องรอให้ชุดสืบสวนของ PCT สืบสวนและตรวจสอบข้อมูลในรายละเอียดก่อน  ซึ่งถ้าเป็นจริง จะถือเป็นรูปแบบใหม่ที่ทางศูนย์ PCT ต้องทำการประชาสัมพันธ์เตือนภัยกันต่อไป ขอย้ำเตือนให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลให้แน่ชัด ก่อนโอนเงินให้ใคร เช่น สอบถามข้อมูลส่วนตัว วิดีโอคอลเพื่อให้เห็นใบหน้า เป็นต้น

นอกจากนี้ ควรระมัดระวังการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว  การตั้งรหัสใช้งานแพลตฟอร์มต่างๆ ควรปกปิด ใช้รหัสคาดเดาได้ยาก หรือเปลี่ยนรหัสเป็นประจำ  อีกทั้งไม่กดลิงก์แปลกๆ หลอกเอาข้อมูล หรือที่เรียกว่า Phishing ป้องกันการถูกแฮกบัญชีออนไลน์ต่างๆ

ส่วนกรณีที่โทรมาแจ้งความ แต่เป็นระบบอัตโนมัติได้โทรไปสอบถาม พล.ต.ต.อังกูรแล้ว ทราบว่าเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากเป็นเบอร์โทรศัพท์ 02-252-7883 ที่ค้นหาจากกูเกิ้ล ไม่ใช่สายด่วน บช.สอท. 1441 หรือ ศูนย์ PCT  081-866-3000  ซึ่งทาง ศปอส.ตร. ได้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบมาโดยตลอด และมีการเปิดระบบรับแจ้งความออนไลน์ผ่าน www.thaipoliceonline.com ไปตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.65 ที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันมีผู้เสียหายแจ้งความผ่านระบบวันละประมาณ 300-400 ราย

สำหรับกรณีพนักงานสอบสวน สน.ประเวศ ระบุว่า “ท่านครับหน่วยปราบไซเบอร์เค้าไม่ทำละครับ มันเยอะ โยนมาให้ท้องที่หมด” นั้น สอบถามไปยังพนักงานสอบสวนรายนี้แล้ว ยอมรับว่าเข้าใจคลาดเคลื่อน เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีหนังสือสั่งการที่ ตร.ที่ 322/2565 ลง 6 ก.ค.2565 แบ่งงานให้ บช.สอท., บช.ก. และหน่วยพื้นที่ตามลักษณะคดี  เพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ  ในลักษณะคดีดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของโรงพัก แต่ก็จะมีการประสานความร่วมมือระหว่างสถานีตำรวจท้องที่กับ บช.สอท. และ บช.ก. บูรณาการทำงานเป็นสถานีตำรวจประเทศไทยเพื่อรองรับรูปแบบคดีประเภทต่างๆ ที่เกิดขึ้น.